เมื่อวันที่ 5 ส.ค. นายสุชาติ ธาดาธำรงเวช อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า รู้สึกแปลกใจมาก ที่เห็นข่าว ครม.เห็นชอบร่างสัญญาเงินกู้ “เอดีบี” วงเงิน 1,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (เทียบเท่า 48,000 ล้านบาท) ตามกรอบ พ.ร.ก.กู้เงินแก้โควิด-19 เพื่อนำไปใช้ในโครงการแผนงานภายใต้พระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อแก้ไขปัญหา เยียวยา และฟื้นฟูเศรษฐกิจและสังคม ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 พ.ศ. 2563
1.“เงินสำรองระหว่างประเทศ เรามีมากมายเกินความจำเป็น ไปกู้มาทำไม” ทำให้เสี่ยงต่ออัตราแลกเปลี่ยน เหมือนเมื่อครั้งไทยล้มละลายในปี พ.ศ.2540
2.แม้บางโครงการในเงินกู้โควิด-19ที่ต้องจ่ายเป็นเงินตราต่างประเทศ ธนาคารชาติก็มีมากมายให้แลกไปจ่ายได้ เรื่องนี้แสดงให้เห็นว่า แม้แต่กระทรวงการคลัง ก็ไม่รู้ไม่เข้าใจในวิชาเศรษฐศาสตร์มหภาค (Macroeconomics) ความจริงแล้ว ประเทศไทยต้องคืนเงินกู้ต่างประเทศด้วยซ้ำไป เพราะเรามีเงินสำรองฯ มากเกินไป
3. การกู้เงินโครงการโควิด 1 ล้านล้านบาท รัฐบาลควรออกพันธบัตรรัฐบาล กู้เงินจากธนาชาติโดยตรง ซึ่งนโยบายนี้เรียกว่าQuantitative Easing หรือ 'คิวอี' ที่ทั่วโลกทำกันทั่วไป ก็คือการเพิ่มปริมาณเงินบาทในระบบเศรษฐกิจ ซึ่งเราเพิ่มได้เอง เงินสำรองมีมากเกินพอ จึงไม่ต้องกลัวขาดสภาพคล่องในภาคธุรกิจ ไม่ต้องกลัวเงินเฟ้อ อัตราเงินเฟ้อของเราตอนนี้ต่ำเกินไป
4. น่าเสียดายมาก ที่ประเทศไทยถูกปกครองโดยคนไม่มีความรู้ ในวิชาเศรษฐศาสตร์มหภาค ส่วนใหญ่ใช้วิชาการเงินธุรกิจ (Business Finance) ซึ่งปรัชญาต่างกันตรงข้ามเลย โดยวิชาการเงินธุรกิจใช้บริหารบริษัท แต่วิชาเศรษฐศาสตร์มหภาคใช้บริหารประเทศ
5.การอ้างว่าดอกเบี้ยถูก-ค่าเงินต่ำ-หนี้ต่างประเทศเทียบหนี้สาธารณะทั้งหมดไม่ถึง 3% จึงไม่ใช่ประเด็น รัฐบาลไทยไปเสียดอกเบี้ยให้ต่างประเทศไปทำไม ยิ่งอ้างว่ากู้ต่างประเทศ เพื่อกันสภาพคล่องในประเทศสำหรับผู้ประกอบการ ยิ่งน่าแปลกใจมาก เงินสำรองต่างประเทศเรามีมากมาย ใช้หนุนการเพิ่มปริมาณเงินบาทเพิ่มสภาพคล่องได้
6.เราจะใช้ความเขลาความไม่รู้วิชาการ มาบริหารประเทศเช่นนี้ไปเรื่อยๆ หรืออย่างไร
"มากเกินไป" - Google News
August 05, 2020 at 11:45AM
https://ift.tt/2BY5pog
"อดีตรมว.คลัง” แปลกใจ รบ.กู้เงิน “เอดีบี” เยียวยาโควิด-19 ถาม ไทยมีเงินตราต่างประเทศมากมาย ไปกู้มาทำไม - สยามรัฐ
"มากเกินไป" - Google News
https://ift.tt/3ctwdZD
0 Comments:
Post a Comment